สรุปภาวะตลาด CFD ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-15 พฤศจิกายน 2025)
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดการเงินโลกเผชิญความผันผวนรุนแรงจากความไม่แน่นอนนโยบายการเงินของ Fed โดยความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลดลงอย่างมากจาก 92% เหลือเพียง 50-63% หลังประธาน Fed Jerome Powell ส่งสัญญาณเตือนว่า “การลดดอกเบี้ยไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน” ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังคงสูงที่ 3.0% YoY และการปิดรัฐบาลสหรัฐที่ยืดเยื้อซึ่งส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญถูกเลื่อนออกไป
ตลาดหุ้นสหรัฐ มีความผันผวนสูงตลอดสัปดาห์ โดย S&P 500 ปิดที่ 6,734.11 จุด (-0.1%) Dow Jones ที่ 47,147.48 จุด (-0.7%) และ Nasdaq ที่ 22,900.59 จุด (+0.1%) หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ถูกขายทำกำไรอย่างหนักในวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน ก่อนจะฟื้นตัวบางส่วนในวันศุกร์ นับตั้งแต่ต้นปี S&P 500 เพิ่มขึ้น 14.5% แต่แนวโน้มระยะสั้นยังคงมีความไม่แน่นอน
ตลาด Forex แสดงความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับความแข็งแกร่งของดอลลาร์ โดย DXY ปิดที่ 99.36 (+0.20%) สะท้อนความไม่แน่นอนของการลดดอกเบี้ย EUR/USD ลดลงมาที่ 1.1622 (-0.10%) ท่ามกลางแนวโน้มขาลงระยะยาว GBP/USD ซื้อขายที่ 1.3172 (+0.02%) หลังอ่อนค่าลงจากกังวลเรื่องความยั่งยืนทางการคลังของสหราชอาณาจักร ขณะที่ USD/JPY แข็งค่าขึ้นมาที่ 154.55 (+0.03%) แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า Bank of Japan อาจขึ้นดอกเบี้ย 25 bps ในเดือนธันวาคม
ทองคำ (XAU/USD) มีความผันผวนสูง โดยปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดเหนือ $4,200/oz มาปิดที่ประมาณ $4,080-4,162/oz (-0.22% ถึง -2.17%) แม้จะลดลงในระยะสั้น แต่ทองคำยังคงเพิ่มขึ้น 64% นับตั้งแต่ต้นปี รองรับโดยความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ความอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงกลางเดือน ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการซื้อทองคำของธนาคารกลาง
ตลาดน้ำมัน ฟื้นตัวในวันศุกร์หลังปรับลงต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ โดย WTI ปิดที่ $59.95/bbl (+2.15%) และ Brent ที่ $63.76/bbl (+1.98%) ได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงด้านอุปทานจากการโจมตีท่าเรือ Novorossiysk ของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปทานล้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ตลาดคริปโต ประสบสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม โดย Bitcoin ลดลงเกือบ 9% มาปิดที่ประมาณ $95,000-97,000 (-0.66%) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และลดลงมากกว่า 25% จากจุดสูงสุดที่ $126,000 เมื่อต้นเดือนตุลาคม สาเหตุหลักมาจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่ลดลง แรงขายในช่วงเวลาเทรดสหรัฐ และความไม่แน่นอนจากการปิดรัฐบาล ขณะที่ Ethereum ปิดที่ $3,140-3,184 (+1.00%) โดยลดลงน้อยกว่า Bitcoin
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ (17-21 พฤศจิกายน 2025)
สัปดาห์หน้าตลาดการเงินจะมุ่งความสนใจไปที่ปัจจัยสำคัญหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะความชัดเจนเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก
- รายงานFOMC Meeting Minutes (พฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน) – การเปิดเผยรายงานการประชุมของ Fed จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตัดสินใจลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดและแนวทางในอนาคต ตลาดจะจับตาว่า Fed มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและ Stagflation มากเพียงใด รวมถึงโอกาสการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
- ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ(พฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน) – Non-Farm Employment Change, Average Hourly Earnings และ Unemployment Rate จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ Fed ใช้ประกอบการตัดสินใจนโยบายการเงิน โดยเฉพาะท่ามกลางความกังวลเรื่องตลาดแรงงานที่แสดงสัญญาณอ่อนแอ
- ข้อมูลเงินเฟ้อสหราชอาณาจักร(พุธที่ 19 พฤศจิกายน) – CPI y/y คาดว่าจะอยู่ที่ 3.6% ซึ่งสูงกว่าเดือนก่อน ข้อมูลนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจของ Bank of England ในการปรับอัตราดอกเบี้ย และส่งผลต่อ GBP/USD โดยตรง
- ดัชนีPMI ยุโรป ญี่ปุ่น และอังกฤษ (ศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน) – Flash Manufacturing PMI และ Flash Services PMI จากประเทศหลักในยุโรปจะสะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจของภูมิภาค ส่งผลต่อ EUR/USD และความเชื่อมั่นของตลาด
- Crude Oil Inventories (พุธที่19พฤศจิกายน) – ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะสะท้อนสมดุลอุปสงค์-อุปทานในตลาด โดยตลาดคาดว่าสต็อกอยู่ที่ 6.4M barrels ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมัน WTI และ Brent
- การแถลงของเจ้าหน้าที่Fed – การปราศรัยของสมาชิก FOMC หลายท่านตลอดสัปดาห์ รวมถึง Williams, Barr, Jefferson และ Hammack จะให้สัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน โดยเฉพาะโอกาสการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในตลาดการเงินโลกขณะนี้คือ ความไม่แน่นอนของนโยบาย Fed ที่กลายเป็นปัจจัยหลักควบคุมทิศทางของสินทรัพย์ทุกประเภท การที่โอกาสการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลดลงอย่างมากเหลือเพียง 50-63% สะท้อนถึงความท้าทายที่ Fed ต้องเผชิญในการสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การปิดรัฐบาลสหรัฐที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหายไป ทำให้การตัดสินใจของ Fed ยากขึ้นและตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น การที่ไม่มีข้อมูล Nonfarm Payrolls และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ทำให้นักลงทุนต้องพึ่งพา Alternative Data และความคาดการณ์มากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงจากการตีความผิดพลาด
ความกังวล Stagflation เพิ่มขึ้นเมื่อเงินเฟ้อยังคงสูงที่ 3.0% YoY ขณะที่ตลาดแรงงานแสดงสัญญาณอ่อนแอ สถานการณ์นี้ทำให้ Fed ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น แต่การคงดอกเบี้ยสูงก็อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ชัดเจนขึ้นจากข้อมูลเดือนตุลาคม โดยการผลิตอุตสาหกรรมเติบโตเพียง 4.9% YoY ชะลอลงจาก 6.5% และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 5.5% ยอดขายปลีกเติบโต 2.9% YoY ชะลอลงจาก 3.0% ความอ่อนแอนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมัน เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและอุปสงค์สินค้าส่งออกจากหลายประเทศ
ความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีน เป็นจุดสว่างท่ามกลางความตึงเครียด โดยทั้งสองประเทศตกลงลดภาษีและยกเลิกการตอบโต้บางส่วน สหรัฐจะลดภาษีที่เกี่ยวกับ fentanyl ลง 10% และจีนจะระงับภาษีตอบโต้ต่อสินค้าเกษตรสหรัฐ ข้อตกลงนี้อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการค้าและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะยังคงมีประเด็นที่ต้องเจรจาต่อไปอีกมาก
พัฒนาการสงครามยูเครน-รัสเซีย ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะการโจมตีท่าเรือ Novorossiysk ของรัสเซียเมื่อเร็วๆ นี้ ส่งผลต่อราคาพลังงานและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญสำหรับทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ
แนวโน้มระยะสั้น: ตลาดคาดว่าจะมีความผันผวนต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะในวันพฤหัสบดีที่มีทั้ง FOMC Minutes และข้อมูลตลาดแรงงาน หากข้อมูลแสดงว่าตลาดแรงงานอ่อนแอกว่าที่คาด อาจทำให้ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้น ทองคำ และคริปโต แต่กดดันดอลลาร์ ในทางตรงกันข้าม หากข้อมูลแข็งแกร่งกว่าคาด อาจทำให้ Fed ยืนยันท่าทีระมัดระวัง ส่งผลดีต่อดอลลาร์แต่กดดันสินทรัพย์เสี่ยง
