ปัจจัยพื้นฐานขับเคลื่อนตลาด
ดัชนี NASDAQ 100 ปิดการซื้อขายในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ที่ระดับ 24,695.53 จุด ปรับตัวลดลง 0.22% ท่ามกลางความผันผวนสูงจากปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในปัจจุบัน นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยประธาน Fed Jerome Powell ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยตลาดคาดการณ์ด้วยความมั่นใจเกือบ 100% ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ในการประชุมวันที่ 28-29 ตุลาคมนี้ จากระดับปัจจุบัน 4.00%-4.25% ลงมาที่ 3.75%-4.00% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมและสนับสนุนการเติบโตของภาคเทคโนโลยี
ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 กำลังเป็นจุดสนใจสำคัญของตลาด โดยนักวิเคราะห์จาก FactSet คาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัทใน S&P 500 ที่ 8.0% ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกันที่มีการเติบโตของกำไร ผลประกอบการของสถาบันการเงินในสัปดาห์แรกแสดงสัญญาณที่แข็งแกร่ง โดย JPMorgan Chase รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 12% และ Goldman Sachs รายงานกำไรพุ่งขึ้น 37% เป็น 4.10 พันล้านดอลลาร์ ได้แรงหนุนจากธุรกิจ Investment Banking ที่เติบโต 42% อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนกลับบานปลายอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดี Trump ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% มีผลตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน หลังจากจีนประกาศข้อจำกัดการส่งออก Rare Earth Minerals ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การปิดงานของรัฐบาลสหรัฐฯที่เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม ส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญล่าช้า โดยรายงาน CPI กันยายน 2025 จะเผยแพร่ในวันที่ 24 ตุลาคม ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของ Fed ในการประชุมครั้งถัดไป ด้านบวกของตลาดมาจากการลงทุนด้าน AI ที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย OpenAI และ Broadcom ประกาศความร่วมมือพัฒนา AI Accelerators มูลค่าโครงการประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้น Broadcom พุ่งขึ้นเกือบ 10% ขณะที่กลุ่ม Magnificent Seven ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด โดยมีมูลค่าตลาดรวม 36.4% ของ S&P 500 นำโดย Nvidia, Microsoft และ Apple
การวิเคราะห์กราฟ Multi Time Frame
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลาก Timeframes พบว่าตลาดกำลังอยู่ในสภาวะผสมผสานระหว่างแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวและการปรับฐานระยะสั้น โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 24,661.6 จุด มีรายละเอียดการวิเคราะห์ดังนี้
- Daily (D1) – แนวโน้มระยะยาว: ราคายังคงอยู่เหนือ Moving Averages ทุกเส้นอย่างชัดเจน โดยอยู่เหนือ SMA 21 (24,653.75), SMA 50 (24,071.26), SMA 100 (23,266.89) และ SMA 200 (21,828.91) ยืนยันแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม RSI ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 51.16 ซึ่งอยู่ในโซนกลางและมีพื้นที่เคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง Stochastic แสดง Crossover ลงจาก %K ที่ 50.92 และ %D ที่ 66.24 ส่งสัญญาณถึงแรงขายระยะสั้น ขณะที่ MACD Histogram อยู่ที่ -63.14 สะท้อนถึง Momentum ที่อ่อนแอลงในระยะกลาง
- 4 Hours (H4) – แนวโน้มระยะกลาง: ราคาปรับตัวลงมาอยู่ต่ำกว่า SMA 21 (24,727.47), SMA 50 (24,863.21) และ SMA 100 (24,738.77) แต่ยังคงอยู่เหนือ SMA 200 (24,317.46) แสดงถึงแรงกดดันระยะสั้นในกรอบแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว RSI อยู่ที่ 48.73 ใกล้เข้าสู่โซน Oversold และ MACD Histogram ที่ -0.63 ใกล้จุด Crossover ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัว Stochastic แสดงสัญญาณเริ่มฟื้นตัวด้วย %K ที่ 55.24 ข้ามขึ้นเหนือ %D ที่ 50.60
- 1 Hour (H1) – แนวโน้มระยะสั้น: ราคาเริ่มฟื้นตัวและอยู่เหนือ SMA 21 (24,575.96) แต่ยังต่ำกว่า SMA 50 (24,637.79), SMA 100 (24,805.93) และ SMA 200 (24,869.71) RSI พุ่งขึ้นมาที่ 59.63 แสดงถึงแรงซื้อที่กลับมา ขณะที่ MACD Histogram เป็นบวกที่ 11.88 ยืนยัน Bullish Momentum ในระยะสั้น Stochastic อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นด้วย %K ที่ 57.85
- 30 Minutes (M30) – จังหวะระยะสั้นมาก: ราคาอยู่เหนือ SMA 21 (24,624.22) และ SMA 50 (24,575.80) อย่างชัดเจน RSI อยู่ที่ 59.09 และ Stochastic %K อยู่ที่ระดับสูงที่ 72.14 แสดงถึงแรงซื้อในระยะสั้นที่แข็งแกร่ง MACD Histogram เป็นบวกที่ 3.22
- 15 Minutes (M15) และ 5 Minutes (M5) – ภาพระยะสั้นมาก: ทั้งสอง Timeframes แสดงสัญญาณ Bullish ชัดเจน โดยราคาอยู่เหนือ Moving Averages ทั้งหมด RSI อยู่ที่ 62.66 (M15) และ 65.25 (M5) ยืนยันแรงซื้อที่ดี อย่างไรก็ตาม Stochastic ใน M5 อยู่ในโซน Overbought ที่ %K 82.66 ซึ่งต้องระวังการปรับฐานระยะสั้น
แนวรับแนวต้านสำคัญ
จากการวิเคราะห์ Swing High, Swing Low และ Moving Averages จากทั้ง 6 Timeframes พร้อมประยุกต์ใช้ Cluster Analysis เพื่อหาระดับราคาที่มีความสำคัญสูงสุด สามารถสรุปแนวรับแนวต้านที่สำคัญได้ดังนี้
แนวต้านสำคัญ (Resistance Levels):
- R1: 24,764.20 – แนวต้านแข็งแกร่งที่สุดในระยะใกล้ ได้รับการยืนยันจาก 4 Timeframes (D1, H4, H1, M30) เป็นโซนที่ราคาเคยถูกปฏิเสธหลายครั้งและมีแรงขายหนาแน่น หากราคาสามารถทะลุผ่านระดับนี้ได้ จะเปิดโอกาสให้ราคาวิ่งต่อไปยังแนวต้านถัดไป
- R2: 24,866.68 – แนวต้านรองที่ได้รับการยืนยันจาก 2 Timeframes (H4, H1) เป็นระดับ Swing High ที่สำคัญและใกล้เคียงกับ SMA 50 ใน H4 ซึ่งมักทำหน้าที่เป็น Dynamic Resistance
- R3: 25,187.85 – แนวต้านระดับสูงที่ได้รับการยืนยันจาก 3 Timeframes (D1, H4, H1) เป็นโซนราคาสูงสุดในช่วงก่อนหน้าและเป็นเป้าหมายสำคัญในกรณีที่แนวโน้มขาขึ้นกลับมาแข็งแกร่ง
แนวรับสำคัญ (Support Levels):
- S1: 24,590.60 – แนวรับแข็งแกร่งใกล้ราคาปัจจุบันที่สุด ได้รับการยืนยันจาก 5 Timeframes (D1, H4, H1, M30, M15) เป็นโซนที่มีแรงซื้อรอรับหนาแน่นและใกล้เคียงกับ SMA 21 ใน H1 ซึ่งทำหน้าที่เป็น Dynamic Support การรักษาระดับนี้ไว้ได้จะยืนยันแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น
- S2: 24,258.66 – แนวรับสำคัญที่สุดจากการวิเคราะห์ ได้รับการยืนยันจาก 7 Timeframes ทั้งหมด เป็น Major Support Zone ที่มีความแข็งแกร่งสูง หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญในการสังเกตพฤติกรรมของตลาด การทะลุแนวรับนี้จะส่งสัญญาณเชิงลบต่อแนวโน้มระยะกลาง
- S3: 24,005.04 – แนวรับรองที่ได้รับการยืนยันจาก 4 Timeframes (D1, H4, H1, M30) เป็นโซน Last Line of Defense ก่อนที่แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาลง การทดสอบระดับนี้มักมาพร้อมกับความผันผวนสูงและ Volume เพิ่มขึ้น
โซนแนวรับแนวต้านสำคัญ: ราคาปัจจุบันที่ 24,661.6 จุด อยู่ระหว่างแนวรับแรก S1 (24,590.60) และแนวต้านแรก R1 (24,764.20) ซึ่งเป็นโซน Consolidation ที่ตลาดกำลังรอปัจจัยใหม่เพื่อกำหนดทิศทางต่อไป การเคลื่อนไหวออกจากโซนนี้จะมีความสำคัญต่อแนวโน้มระยะสั้น
คำเตือน: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลและการศึกษาเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (CFD) มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนทุกคน