ภาพรวมสถานการณ์
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้งหลังจากที่ประธานาธิบดี Trump ประกาศขู่ใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติมอีก 100% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน โดยมีกำหนดมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้การตัดสินใจของปักกิ่งที่ประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการผลิตระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดนี้ กลับปรากฏสัญญาณที่น่าสนใจจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งบ่งชี้ว่าทั้งวอชิงตันและปักกิ่งต่างมีความประสงค์ที่จะลดระดับความขัดแย้งลง อย่างน้อยในระยะสั้น สำหรับฝ่ายสหรัฐฯ รัฐมนตรีคลัง Scott Bessent ได้ให้สัญญาณว่าประธานาธิบดี Trump ยังคงเปิดกว้างต่อการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงินที่ได้รับผลกระทบจาก selloff ครั้งใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และเพื่อหลีกเลี่ยงการบดบังความสำเร็จจากข้อตกลงสันติภาพในตะวันออกกลางที่ทีมงานให้ความสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายจีนก็แสดงท่าทีที่อ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัด กระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ตอบโต้ที่น่าสนใจ โดยไม่มีการขู่ใช้มาตรการตอบโต้ที่เฉพาะเจาะจงใดๆ แต่กลับเน้นย้ำว่าการควบคุมการส่งออกแร่หายากนั้นไม่ใช่การห้ามส่งออกโดยสิ้นเชิง และจะดำเนินการอย่างระมัดระวังและพอประมาณ โดยยืนยันว่าธุรกิจที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางพลเรือนยังสามารถยื่นขออนุมัติได้ตามปกติ นอกจากนี้ สื่อในประเทศจีนยังลดการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขู่ใช้ภาษีของ Trump ลงอย่างมาก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ปักกิ่งมักใช้เพื่อสร้างช่องทางในการถอยร่นโดยไม่เสียหน้า
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ทั้งสองประเทศต้องการลดความตึงเครียดคือการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ที่คาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ จีนต้องการรักษาโอกาสในการเจรจาระดับสูงนี้ไว้ เนื่องจากเป็นเวทีสำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ ส่วนฝ่ายสหรัฐฯ ก็ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาดหุ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูงมาก แม้จีนจะแสดงท่าทีอ่อนตัวลงในการนำเสนอนโยบายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก แต่ปักกิ่งก็ยังไม่ได้ให้สัญญาณว่าจะยกเลิกนโยบายดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายสหรัฐฯ คาดว่าจะเรียกร้องในการเจรจาครั้งนี้ การปฏิเสธที่จะถอนนโยบายเต็มรูปแบบทำให้ยังคงมีช่องว่างสำหรับการกลับมาเริ่มต้นรอบใหม่ของการตอบโต้และตอบโต้กลับ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์จีนก็ยังคงเตือนว่าหากสหรัฐฯ ยืนกรานใช้ภาษี 100% จีนพร้อมที่จะใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน
สถานการณ์นี้จึงเป็นการเดินบนเส้นทางที่ละเอียดอ่อนสำหรับทั้งสองประเทศ ซึ่งกำลังพยายามสร้างสมดุลระหว่างการแสดงความเข้มแข็งต่อประชาชนในประเทศและการหาทางออกที่สร้างสรรค์บนเวทีการเจรจา สำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน นี่คือช่วงเวลาที่ต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเคลื่อนไหวใดๆ จากทั้งสองฝ่ายอาจสร้างความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดการเงินโลกได้ทันที
ผลกระทบต่อตลาดการเงินหลัก
Forex Market (ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา)
- USD (ดอลลาร์สหรัฐ):ดอลลาร์ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ DXY 99.20-99.30 แสดงถึงการฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดเดือนกันยายนที่ 96.22 ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นจากการเป็นสกุลเงินที่นักลงทุนหลบภัยเข้ามาถือครองในช่วงความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาคืบหน้าและเกิดการคลี่คลายจริง USD อาจอ่อนค่าลงได้เนื่องจาก risk-on sentiment กลับมา โซนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 100.00-101.00 ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 98.50-99.00
- CNH/CNY (หยวนจีน):หยวนปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ USD/CNH 7.13-7.18 หยวนได้รับแรงกดดันอ่อนค่าอย่างหนักจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) เข้ามาควบคุม fixing rate และสัญญาณการคลี่คลายจากทั้งสองฝ่ายอาจช่วยสนับสนุนให้ CNH ฟื้นตัวได้ในระยะสั้น โซนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 7.25-7.30 ซึ่งหาก breakthrough ได้อาจทดสอบ 7.35-7.40
- Safe-Haven Currencies:สกุลเงิน JPY และ CHF ได้ประโยชน์จากกระแสเงินทุนหลบภัย โดยเฉพาะ JPY ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง คู่เงิน USD/JPY ปัจจุบันอยู่ที่ 147.40-152.30 โดยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบกว้าง หากเกิดการคลี่คลาย JPY อาจอ่อนค่าลงได้จาก profit-taking โดยอาจทดสอบกลับไปที่ระดับ 153.00-155.00
- Commodity Currencies:สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้าโภคภัณฑ์ เช่น AUD และ NZD ได้รับผลกระทบเชิงลบจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก AUD/USD ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 0.6500-0.6600 หากมีสัญญาณคลี่คลายชัดเจน สกุลเงินเหล่านี้อาจฟื้นตัวขึ้นทดสอบ 0.6700-0.6800 ได้อย่างรวดเร็ว
XAUUSD (ทองคำ)
- แนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง:ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ $4,150-$4,161 ต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ $4,149.83 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เพิ่มขึ้น 56.09% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 12.86% ในเดือนที่ผ่านมา
- ปัจจัยหนุน:นอกจากสงครามการค้าแล้ว ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ นโยบายดอกเบี้ยของ Fed และความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มระยะยาว การไหลเข้าของเงินทุนใน Gold ETF ยังคงต่อเนื่อง
- กลยุทธ์การเทรด:ในระยะสั้น หากเกิดการคลี่คลายจริง ทองคำอาจมีการ profit-taking และปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับที่ $3,850-$3,900 อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงนี้ควรมองว่าเป็นโอกาสในการ accumulate เนื่องจากแนวโน้มระยะกลาง-ยาวยังคงเป็นขาขึ้นแบบ parabolic เป้าหมายถัดไปอยู่ที่ระดับ psychological $4,300-$4,500 ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
US Indices (ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ)
- S&P 500และ Nasdaq: ทั้งสองดัชนีประสบกับความผันผวนสูงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย S&P 500 ปัจจุบันซื้อขายในช่วง 6,550-6,740 จุด หลังจากประสบกับ selloff ครั้งใหญ่วันศุกร์ที่ปิดที่ 6,552.51 จุด ลดลง 2.71% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน Nasdaq Composite ซื้อขายในช่วง 22,200-22,940 จุด ปิดที่ 22,204.43 จุด ลดลง 3.56% ได้รับผลกระทบมากกว่าเนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีมีความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานจากจีน หากเกิดการคลี่คลาย ตลาดอาจเกิด short-covering rally และฟื้นตัวกลับไปทดสอบ S&P 500 ที่ 6,700-6,750 และ Nasdaq ที่ 22,800-23,000
- Dow Jones:ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 45,480-46,700 จุด ได้รับผลกระทบน้อยกว่าดัชนีอื่นเนื่องจากมีน้ำหนักในหุ้นอุตสาหกรรมและการเงินมากกว่าเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดัน แนวรับสำคัญอยู่ที่ 45,000-45,500 ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 46,500-47,000
- Sector Impact:หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่มีการผลิตหรือจำหน่ายในจีน เช่น Apple, Nvidia และ AMD จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ในขณะที่หุ้นกลุ่มป้องกัน เช่น สาธารณูปโภคและสินค้าอุปโภคบริโภค และหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ปรับตัวขึ้น 6.8% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีความผันผวนต่ำกว่า
US Oil (น้ำมันดิบสหรัฐฯ)
- แรงกดดันจากความต้องการ:น้ำมันดิบ WTI ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ $58.90-$59.23 ต่อบาร์เรล ลดลง 22.05% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 5.56% ในเดือนที่ผ่านมา ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบอย่างมาก น้ำมันทะลุลงมาต่ำกว่า $60 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
- ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์:แม้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและการลดกำลังการผลิตของ OPEC+ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาในระยะกลาง แต่ความกังวลด้านอุปสงค์จากสงครามการค้าและการหยุดทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กดดันราคาในระยะสั้นมากกว่า การเพิ่มขึ้นของ crude oil inventories ในสหรัฐฯ ยังเพิ่มแรงกดดันเพิ่มเติม
- แนวโน้มการเทรด:หากเกิดการคลี่คลายและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจกลับมา น้ำมันอาจฟื้นตัวขึ้นทดสอบระดับ $62-$65 อย่างไรก็ตาม การเทรดควรระมัดระวังและใช้ stop-loss ที่เข้มงวด เนื่องจากปัจจัยจากทั้ง supply และ demand มีความผันผวนสูง แนวรับสำคัญอยู่ที่ $57-$58 หากทะลุลงไปอาจทดสอบ $55
Cryptocurrencies (สกุลเงินดิจิทัล)
- Bitcoinและ Altcoins: ตลาดคริปโตเคอเรนซี่แสดงความสัมพันธ์เชิงบวกกับตลาดหุ้นเทคโนโลยีในระยะนี้ Bitcoin ปัจจุบันซื้อขายในช่วง $114,000-$123,500 โดยปรับตัวลงมาจากระดับสูงสุดท้องถิ่นที่ $124,000 หลังข่าวสงครามการค้า แนวรับสำคัญอยู่ที่ $113,000-$115,000 ยังคงแข็งแกร่ง Bitcoin ลดลง 8.30% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อปัจจัยมหภาค
- Safe-Haven Narrative vs Reality:แม้บางกลุ่มจะมองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือก แต่ในความเป็นจริง Bitcoin ยังคงแสดงพฤติกรรมเป็น risk asset มากกว่า โดยเคลื่อนไหวตามความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม หากตลาดหุ้นฟื้นตัว Bitcoin มีโอกาสกลับมาทดสอบ $125,000-$130,000 โดยนักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่าอาจถึง $168,000 ภายในปี 2025
- Altcoin Volatility:สกุลเงินดิจิทัลรองมีความผันผวนสูงกว่า Bitcoin อย่างมาก โดยเฉพาะสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับ DeFi และ Layer-1 protocols อาจมีการปรับฐานลึกกว่า 10-20% หากความกังวลด้านมหภาคยังคงอยู่ Ethereum ซื้อขายที่ระดับ $4,300-$4,400 พร้อมทิศทางที่ยังไม่ชัดเจน ควรใช้ position sizing ที่เหมาะสมและ risk management ที่เข้มงวด
- การไหลเข้าของสถาบัน:ปัจจัยเชิงบวกระยะกลางคือการไหลเข้าของเงินทุนสถาบันผ่าน Bitcoin ETF ที่ยังคงต่อเนื่อง โดยมีเงินไหลเข้ามากกว่า $18 billion ใน Q3 2025 ซึ่งอาจช่วยรองรับราคาในระยะยาว แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น การลดดอกเบี้ยของ Fed และสภาพคล่องทางการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบันกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในระยะข้างหน้า สัญญาณการคลี่คลายที่ปรากฏขึ้นจากทั้งสองฝ่ายเป็นข่าวดีสำหรับตลาด แต่เทรดเดอร์ต้องตระหนักว่าความไม่แน่นอนยังคงอยู่ในระดับสูง และสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานี้ กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดคือการรักษาความยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวตามพัฒนาการของข่าวสาร สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น นี่คือโอกาสในการเก็บกำไรจากความผันผวน แต่ต้องใช้ stop-loss ที่เข้มงวดและขนาด position ที่เหมาะสม สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว การปรับฐานของตลาดในช่วงนี้อาจเป็นโอกาสในการสะสมสินทรัพย์คุณภาพในราคาที่ดีกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งแต่ได้รับผลกระทบจากความกังวลด้านมหภาค
การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี Trump และ Xi Jinping ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้จะเป็น key event ที่ทุกคนในตลาดจับตามอง ผลลัพธ์จากการประชุมครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าตลาดจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัวหรือกลับไปสู่ความผันผวนอีกครั้ง เทรดเดอร์ควรเตรียมพร้อมสำหรับทั้งสองสถานการณ์และมีแผนการเทรดที่ชัดเจนสำหรับแต่ละ scenario
ข้อเสนอแนะสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ของ Taurex ในช่วงนี้คือการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลายประเภทและการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้สามารถรับมือกับความผันผวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมว่าในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน การอยู่รอดและรักษาเงินทุนมีความสำคัญมากกว่าการไล่ตามผลกำไรระยะสั้น การมี risk management ที่ดีและการใช้ leverage อย่างระมัดระวังจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรดในช่วงเวลานี้